กระจกรถยนต์: นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและการมองเห็นที่เหนือกว่า
กระจกรถยนต์เป็นมากกว่าแค่ส่วนประกอบที่โปร่งใสบนยานพาหนะ แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ชัดเจน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีการผลิตกระจกรถยนต์ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากกระจกธรรมดามาสู่กระจกนิรภัยที่ซับซ้อนและมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย


ประวัติความเป็นมาของกระจกรถยนต์
ย้อนกลับไปในอดีต มนุษย์ค้นพบ "แก้ว" โดยบังเอิญจากการนำแร่บางชนิดมาใช้ในการประกอบอาหาร เมื่อได้รับความร้อน แก้วก็จะละลายและเมื่อเย็นตัวลงก็กลายเป็นวัสดุใสที่เราคุ้นเคยกันดี การพัฒนาแก้วแกร่งหรือ กระจกนิรภัย (Tempered Glass) มีมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 17 โดยมีการค้นพบคุณสมบัติที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษของหยดแก้วที่ถูกทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วงทศวรรษ 1930 บริษัทต่างๆ ทั่วโลกเริ่มผลิตกระจกนิรภัยแบบแบนเพื่อใช้เป็นกระจกบังลมรถยนต์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตกระจกนิรภัยในปริมาณมาก และเป็นก้าวสำคัญที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับยานยนต์
ชนิดของกระจกรถยนต์
ในปัจจุบัน กระจกรถยนต์หลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยที่แตกต่างกัน:
กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass): เป็นกระจกที่ผ่านกระบวนการอบด้วยความร้อนสูงและทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่ากระจกทั่วไป 3-5 เท่า เมื่อแตกจะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเมล็ดข้าวโพดที่ไม่แหลมคม ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ กระจกชนิดนี้มักใช้เป็นกระจกด้านข้างและกระจกหลังของรถยนต์
กระจกลามิเนต (Laminated Glass): เป็นกระจกนิรภัยที่เกิดจากการนำกระจกสองแผ่นมาประกบกัน โดยมีแผ่นฟิล์มไวนิลใส (PVB: Polyvinyl Butyral) คั่นกลาง เมื่อกระจกแตก เศษกระจกจะยังคงยึดติดอยู่กับฟิล์ม ทำให้ไม่หลุดร่วงออกมาและยังคงรูปทรงไว้ได้ชั่วคราว ลดอันตรายจากการถูกคมกระจกบาด และยังช่วยป้องกันวัตถุภายนอกทะลุเข้ามาในห้องโดยสาร กระจกชนิดนี้จึงนิยมใช้เป็น กระจกบังลมหน้า (Windshield) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในด้านความปลอดภัย


